Website
1166
facebook
twitterx
youtube
Instagram
pantip
TikTok
line
connect








สูตรแก้แฮงก์/เอมอร คชเสนี

05 ก.ย. 2549

          ช่วงเข้าพรรษา เชื่อว่ามีคอเหล้าจำนวนไม่น้อยที่สมัครใจงดเหล้า แต่ก็เกรงว่า พอออกพรรษาแล้ว จะดื่มชดเชยกันให้สมใจอยาก วันนี้จะไม่พูดถึงผลเสียของการดื่มสุรากันให้เปลืองแรง เพราะขึ้นชื่อว่าคอเหล้า ยังไงๆ ก็คงห้ามไม่ได้ ดังนั้นจึงช่วยหาหนทางที่จะทำให้ดื่มได้โดยมีผลเสียน้อยที่สุด 
  

          แอลกอฮอล์ที่ใช้สำหรับดื่ม คือ เอทิลแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 50 % ก่อนอื่นควรจะทราบปริมาณแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มแต่ละประเภท ดังนี้
 
1.วิสกี้ บรั่นดี ยิน วอดก้า และเหล้าทั้งหลาย จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 40-50 % โดยปริมาตร
 
2.ไวน์ จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 12-15 % โดยปริมาตร และไม่เกี่ยวกับรสชาติของไวน์
 
3.ไวน์คูลเลอร์ จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 3-5 % โดยปริมาตร
 
4.ไลท์เบียร์ต่างประเทศ จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 3.5 % ต่ำกว่าเบียร์ทั่วไปที่มีแอลกอฮอล์ 5 % สำหรับเบียร์ในประเทศไทย จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 10-12 % โดยปริมาตร
 
           อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะดื่มประเภทที่มีแอลกอฮอล์น้อย แต่ดื่มปริมาณมากๆ ในเวลาอันรวดเร็ว ระดับแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่ร่างกายก็ย่อมสูงเช่นเดียวกับเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูง ซึ่งแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่สูง จะมีผลเสียต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลเสียต่อการทำงานของตับ
 
ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากแค่ไหน จึงจะถือว่าดื่มมากเกินไป จนอาจมีปัญหาต่อร่างกาย
 
สำหรับหญิงตั้งครรภ์ การดื่มแม้เพียงเล็กน้อย ก็ถือว่ามากไป เพราะแอลกอฮอล์จะมีผลต่อทารกในครรภ์
 
สำหรับผู้ที่ต้องขับขี่รถยนต์ การดื่มเพียง 1 แก้ว ก็มีผล ไม่ว่าจะเป็นความว่องไวของสายตา และการประสานงานที่ดีของประสาทรับความรู้สึกในร่างกาย
 
สำหรับผู้ที่รับประทานยา การดื่มเพียงเล็กน้อย ก็ถือว่ามากไปเช่นกัน เพราะแอลกอฮอล์อาจทำให้การออกฤทธิ์ของยาเปลี่ยนแปลงไป หรือทำให้ยาไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ตามปกติ

อัตราการดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดในแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป ดังนี้

1.รูปร่าง ผู้ที่รูปร่างสูงใหญ่ย่อมมีปริมาณเลือดมากกว่าคนตัวเล็ก ปริมาณของแอลกอฮอล์ในเลือดอาจขึ้นช้าๆ เช่นเดียวกับการขับถ่ายอาจต้องใช้เวลามากกว่าคนตัวเล็ก
 
2.การรับประทานอาหารระหว่างการดื่ม ผู้ที่มีอาหารอยู่ในกระเพาะหรือลำไส้ จะทำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดช้ากว่าผู้ที่ท้องว่าง
 
3.ความเร็วของการดื่มและชนิดของเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ถ้าดื่มอย่างรวดเร็ว หรือดื่มเหล้าเพียวๆ ปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดก็จะขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะท้องว่าง
 
4.ในรายที่ดื่มเป็นประจำ ร่างกายจะคุ้นเคย อาจต้องการปริมาณแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางคนอาจมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงมาก ถ้าเป็นคนทั่วไปอาจจะเมาอย่างหนักไปแล้ว แต่ผู้ที่ดื่มเป็นประจำอาจจะยังไม่เมา แต่แอลกอฮอล์ระดับสูงในเลือด จะมีผลเสียต่อตับ สมอง และอวัยวะอื่นๆ มากกว่าปกติ
 
5.สำหรับผู้ชายและผู้หญิง จะมีความแตกต่างของระบบน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และผู้หญิงจะมีเซลล์ไขมันมากกว่าผู้ชาย เซลล์ไขมันไม่สามารถดูดซึมแอลกอฮอล์ได้ ดังนั้น แม้จะดื่มในปริมาณเท่ากัน แต่ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้หญิงจะสูงกว่า
 
เมื่อดื่มแล้ว หลายคนติดลม จนดื่มเกินขนาด ก็อาจจะมีอาการเมาค้าง หรือ แฮงค์โอเวอร์ หรือที่มักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า แฮงก์ วันนี้จึงนำ "สูตรแก้แฮงก์” มาฝากด้วย
 
ก่อนดื่มเหล้าประมาณ 1 ชั่วโมง ควรรับประทานอะไรรองท้องไว้ก่อน ถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นอาหารประเภทข้าว นม ไข่ หรือแกงประเภทจับฉ่าย ใส่กะหล่ำปลีเยอะๆ
 
ระหว่างดื่มเหล้า ให้เลือกเหล้าสีจางไว้ก่อน ถ้าไม่ติดรสชาตินักก็ให้เลือกผสมน้ำ จะดีกว่าผสมโซดา เพราะโซดาจะทำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านไปถึงสมองเร็วขึ้น ระหว่างดื่มเหล้า ก็ควรมีกับแกล้มประเภทถั่วหรือโปรตีนอื่นๆ ด้วย
 
หลังดื่มเหล้า ให้ดื่มชาสมุนไพรร้อนๆ เช่น ชาดอกคำฝอย หรือชาลูกใต้ใบ
 
ก่อนนอนให้รับประทานของว่าง เช่น ขนมปังกรอบทาแยมหรือน้ำผึ้ง
 
เมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ให้อาบน้ำเย็น แล้วดื่มน้ำเปล่า น้ำมะนาวคั้น หรือชาสมุนไพร ตามด้วยแอปเปิลสัก 1 ลูก ตกสาย รับประทานข้าวกับแกงเลียงร้อนๆ สักถ้วย
 
มีผู้แนะนำให้หาวิตามินบี 6 ติดกระเป๋าเอาไว้กินระหว่างการดื่ม จะช่วยให้ไม่มีอาการมึนเมา หรือถ้ามี ก็ไม่มากจนถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้ และยังช่วยลดอาการเมาค้าง เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาก็จะไม่ทรมานจากอาการปวดศีรษะเนื่องจากเมาค้าง

และสุดท้ายคือ สมุนไพรไทยๆ อย่างรางจืด ก็แก้เมาได้เช่นกัน สรรพคุณของรางจืดตามตำรายาไทยกล่าวไว้ว่า รางจืดมีรสเย็น ใช้แก้ร้อนในกระหายน้ำ ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ และพิษอื่นๆ ซึ่งรวมถึงพิษสุราด้วย
 
นักเลงเหล้ารุ่นเก๋าจะใช้วิธีเคี้ยวหรืออมเถารางจืดไว้ใต้ลิ้น จะช่วยไม่ให้เมามาก และแก้อาการเมาค้าง วิธีที่ใช้กันมาตามภูมิปัญญาไทย ใช้ได้ทั้งกินสดๆ และแบบแห้ง คือนำใบสด 4-5 ใบ ใส่ครกตำผสมน้ำ จะยิ่งดีถ้าได้น้ำซาวข้าว แล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือจะใช้ส่วนที่เป็นรากและเถารางจืดสด มาตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำก็ได้
 
ปัจจุบันมีชารางจืดกึ่งสำเร็จรูปวางขายหลายยี่ห้อ ส่วนที่นำมาใช้ คือใบแห้ง นำมาชงกับน้ำดื่ม ความเข้มข้นก็แล้วแต่จะชงอ่อนหรือชงแก่
ทุกวิธีที่ว่ามา ไม่รับรองว่าได้ผลชะงัดแค่ไหน เพราะไม่เคยลองใช้ วิธีที่แน่นอนที่สุดที่จะทำให้ไม่แฮงก์ ก็คือ ไม่ดื่มค่ะ 
 
 
เว็บไซต์ที่มา : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9480000144407
แหล่งที่มา    : เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
 

( )